เมื่อประมาณ 2000 ปีก่อนคริสตกาล ได้มีการวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังโบราณที่อียิปต์ เป็นภาพของนักมวยปล้ำสองคนต่อสู้กัน เป็นเหมือนภาพที่แสดงการเคลื่อนไหวหลายๆภาพต่อๆกัน ต่อมาได้พบถาพที่แสดงถึงการเคลื่อนไหว จากผลงานภาพวาดของศิลปินเอกระดับโลกชื่อ ลีโอนาโด ดาวินชี เป็นภาพที่แสดงของเขตการเคลื่อนไหวของแขนและขาของมนุษย์ ส่วนทางด้านตะวันออก ชาวญี่ปุ่นโบราณนิยมใช้ม้วนกระดาษแสดงเรื่องราวต่างๆที่ต่อเนื่องกัน
จากนั้นปี ค.ศ.1824 ทฤษฎีเรื่องภาพติดตาของมนุษย์ก็เกิดขึ้น โดย John Ayrton Paris นายแพทย์ชาวอังกฤษ ได้ประดิษฐ์เครื่องมือที่เรียกว่า ธัมมาโทรป มีลักษณะเป็นแผ่นกลมๆ ด้านหนึ่งเป็นรูปนก ส่วนอีกด้านเป็นรูปกรงนกเปล่าๆ แล้วนำแต่ละด้านผูกไว้กับเชือกหรือติดกับแกนไม้ เมื่อทำการหมุนด้วยความเร็วสูง จะเห็นว่านกเข้าไปอยู่ในกรง
และหลังจากปี ค.ศ.1892 โธมัส อัลวา เอดิสัน ได้ประดิษฐ์กล้องถ่ายภาพยนตร์และเครื่องฉายภาพ พร้อมๆกับบริษัทอีสท์แมนได้ปรับปรุงคุณภาพของฟิลม์ ภาพยนตร์ก็เป็นจริงขึ้นมา จนถึงศตวรรษที่ 20 การพัฒนาเทคนิคทางภาพยนตร์ก็แบ่งออกเป็น 2 แนวทาง คือการสร้างภาพยนตร์ที่อาศัยตัวแสดง ฉาก และกล้องบันทึกภาพที่เคลื่อนที่ไปได้ จนพัฒนากลายเป็นการแสดงที่เป็นไปตามธรรมชาติ และใช้กล้องบันทึกภาพไปอย่างต่อเนื่อง หรือเรียกว่า ไลฟ์ แอคชั่น ซีนีม่า ส่วนการสร้างภาพยนตร์อีกแนวทางหนึ่งจะอาศัยการวาด ฉาก และกล้องที่ตั้งอยู่กับที่เพื่อบันทึกภาพทีละภาพ จนกลายเป็นการพัฒนาของภาพยนตร์แอนิเมชั่นในปัจจุบัน
,oo มนุษย์นี่
ตอบลบช่างคิดค้นเนอะะ
ความคิดคนเรามันไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ
ตอบลบอิเพิ่งรู้ประวัติมันนะเนี่ย
ตอบลบน่าคิดๆๆๆๆ จิงๆๆๆๆๆๆๆ
คนเรานี้ฉลาดจังเลยย